top of page
Search

คู่มือฉีดฟิลเลอร์สำหรับมือใหม่ ข้อมูลและความเสี่ยงที่ต้องรู้ อัปเดตล่าสุด 2025

Updated: Jun 5


ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร? ทำไมคนไทยถึงนิยมกัน



ฉีดฟิลเลอร์ นั้นเพื่อรักษาริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า ด้วยการฉีดสาร ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) เข้าไปใต้ผิวหนังเรา สารที่ว่านี้เป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายเราอยู่แล้ว ทำหน้าที่เติมเต็มส่วนที่บางลงตามอายุ ด้วยคุณสมบัติอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ ทำให้หน้าดูอิ่มเด้ง เด็กลง


ฉีดฟิลเลอร์ดีอย่างไรบ้าง?


  • ช่วยลบรอยตีนกา รอยย่น ร่องแก้มลึกที่ทำให้ดูแก่กว่าวัย

  • ปรับรูปหน้าให้สวยขึ้น เช่น ฟิลเลอร์เสริมคาง ฟิลเลอร์หน้าผาก

  • ผิวดูชุ่มชื้น สดใสขึ้น เหมือนใช้ครีมบำรุงตลอด

  • เห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้นนาน กลับบ้านได้เลย

  • มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองจากอย.




ตอนนี้การฉีดฟิลเลอร์ฮิตมากในไทย เพราะไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาแค่ 15-30 นาที แป๊บเดียวเสร็จ แถมราคาก็ไม่แพงมากเมื่อเทียบกับการศัลยกรรม


เข้าใจการฉีดฟิลเลอร์ให้มากขึ้นและใช้อย่างปลอดภัย แวะมาดูข้อมูลตามหัวข้อนี้เลย



ฟิลเลอร์ คืออะไร? เรื่องน่ารู้ที่หลายคนยังสงสัย


ฟิลเลอร์ คือ อะไรกันแน่? ก็คือสารเติมเต็มที่เรียกว่า "ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid)" หรือที่หมอเรียกสั้นๆ ว่า HA นั่นเอง สารนี้มีอยู่ในตัวเราแล้วตามธรรมชาติ แต่พอเราอายุมากขึ้น มันก็ค่อยๆ ลดลง ทำให้ผิวหย่อนคล้อย และเหี่ยวลง


ทำไมต้องใช้ฟิลเลอร์?


ลองนึกภาพลูกโป่งที่มีลมอยู่เต็ม ผิวลูกโป่งก็จะเต่งตึง แต่เมื่อลมค่อยๆ ออกจนหมด มันก็จะเหี่ยวลง ผิวเราก็เหมือนกัน! เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนที่เป็นเหมือนโครงสร้างค้ำยันผิวก็ลดลง ทำให้ผิวบางลง เกิดรอยเหี่ยวย่น

เมื่อหมอฉีดฟิลเลอร์เข้าไปตรงจุดที่เป็นร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา รอยตีนกา สารนี้จะไปเติมเต็ม ทำให้ร่องตื้นขึ้น ผิวดูอิ่มน้ำ เด้งขึ้น เหมือนได้เติมน้ำให้ลูกโป่งที่กำลังแฟบอยู่


ฉีดฟิลเลอร์กับฉีดไฮยา เหมือนกันหรือไม่?


บางทีเราไปคลินิกหนึ่งเขาบอกว่า "ฉีดฟิลเลอร์" แต่อีกคลินิกกลับบอกว่า "ฉีดไฮยา" แล้วมันต่างกันยังไง?

จริงๆ แล้ว ฟิลเลอร์เป็นคำกว้างๆ ที่หมายถึงสารเติมเต็มทุกชนิด แต่ในไทยเวลาหมอพูดถึงฟิลเลอร์ จะหมายถึงไฮยาลูรอนิค แอซิด นั่นแหละ

แต่บางคลินิกอาจไม่ใช้คำว่า "ฉีดฟิลเลอร์" แต่เรียกว่า "ฉีดไฮยา" แทน เพราะเหตุผลทางการค้า ทำให้ดูเหมือนเป็นบริการที่พิเศษกว่า ทั้งที่จริงๆ แล้วก็คือสิ่งเดียวกันนั่นเอง!


ฟิลเลอร์ช่วยอะไรได้บ้าง?

นอกจากลบรอยเหี่ยวย่นแล้ว ฟิลเลอร์ยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง

  • ช่วยเสริมโครงหน้า เช่น ปรับคาง เพิ่มโหนกแก้ม เพราะฟิลเลอร์อยู่ทรงได้ดี ไม่เคลื่อนย้ายง่าย

  • ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ เพราะฟิลเลอร์ดึงน้ำเข้ามาเก็บไว้ ทำให้ผิวดูสดใสขึ้น

  • ช่วยให้รูขุมขนดูเล็กลง ผิวเนียนขึ้น

  • ไม่ต้องรอนาน เห็นผลทันทีหลังฉีด



สิ่งที่น่าสนใจคือ ฟิลเลอร์เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการผ่าตัด เพราะเป็นสารที่คล้ายกับที่ร่างกายมีอยู่แล้ว และร่างกายยังค่อยๆ ดูดซึมได้เองตามธรรมชาติ ไม่ต้องกังวลว่าจะอยู่ถาวร

แต่อย่าลืมว่า ถึงจะดูเป็นวิธีง่ายๆ แต่ต้องทำกับหมอที่เก่งจริงๆ นะ เพราะแต่ละคนหน้าไม่เหมือนกัน ต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ในการฉีดฟิลเลอร์ ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งๆ หรือดูแปลกตา




7 จุดฉีดฟิลเลอร์ยอดนิยมที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน



1.ฟิลเลอร์ใต้ตา


จุดนี้ช่วยแก้ไขปัญหาถุงใต้ตา รอยคล้ำ และความหย่อนคล้อยบริเวณใต้ตา ทำให้ดวงตาดูสดใส กระชับ และอ่อนเยาว์ขึ้น การเติมฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถทำให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนวัยได้อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ใต้ตายังสามารถเพิ่มความสดใสให้ดวงตา ทำให้ใบหน้าดูสดชื่นและเปล่งปลั่งแม้ไม่มีปัญหาใต้ตาที่เด่นชัด





เจาะลึกการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาดูแก่ก่อนวัยอย่างเป็นธรรมชาติ


2. ฟิลเลอร์คาง


เพิ่มมิติให้คางด้วยฟิลเลอร์สามารถปรับสัดส่วนใบหน้าให้สมดุลมากขึ้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้นหรือคางถอย ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าให้สมส่วน ทำให้หน้าเรียววีเชฟ ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติไม่แพ้การผ่าตัดศัลยกรรม




3. ฟิลเลอร์ร่องแก้ม


ร่องแก้มที่ลึกมักทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าอายุจริง การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ เพิ่มความเรียบเนียนให้ผิว




4. ฟิลเลอร์ปาก


สำหรับคนที่อยากมีริมฝีปากอวบอิ่ม หรือมีปัญหาริ้วรอยบริเวณขอบปาก ปากแห้ง ฟิลเลอร์ปากช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ปรับรูปทรงปาก



เจาะลึกการฉีดฟิลเลอร์ปาก : ฉีดฟิลเลอร์ปาก ปากสวยดูดีเป็นธรรมชาต


5. ฟิลเลอร์ขมับ


การเติมฟิลเลอร์ขมับช่วยแก้ไขปัญหาขมับบุ๋มหรือยุบตัว ซึ่งทำให้โหนกแก้มดูเด่นเกินไป และสร้างความไม่สมดุลให้ใบหน้า การฉีดฟิลเลอร์ขมับช่วยปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนเข้ารูปมากขึ้น และเป็นที่นิยมสำหรับการเสริมโหงวเฮ้ง 




6. ฟิลเลอร์หน้าผาก


ฟิลเลอร์หน้าผากสามารถเพิ่มมิติให้ใบหน้า เสริมความมั่นใจ หรือช่วยให้ใบหน้าดูสมดุลมากขึ้น สำหรับคนที่มีปัญหาหน้าผากแบน เป็นแอ่ง การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากช่วยปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนสวยงาม เห็นผลทันทีหลังทำ




7. ฟิลเลอร์จมูก


เหมาะกับผู้ที่มีฐานจมูกอยู่บ้างแล้ว และไม่ต้องการผ่าตัด หรือต้องการเพิ่มความคมชัดให้สันจมูกหรือปลายจมูกเพียงเล็กน้อย ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ





ในการฉีดแต่ละจุดต้องใช้ฟิลเลอร์กี่ CC ?


การฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดจะใช้ปริมาณไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความลึกของร่องหรือปัญหาที่ต้องการแก้ไข โดยทั่วไป:

  • ฟิลเลอร์ใต้ตา: 0.5-1 CC ต่อข้าง

  • ฟิลเลอร์คาง: 1-2 CC

  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม: 0.5-1 CC ต่อข้าง

  • ฟิลเลอร์ปาก: 0.5 CC

  • ฟิลเลอร์ขมับ: 1-2 CC ต่อข้าง

  • ฟิลเลอร์หน้าผาก: 1-3 CC

  • ฟิลเลอร์จมูก: 0.5-1 CC


แพทย์จะประเมินปัญหาและความต้องการของแต่ละบุคคล เพื่อแนะนำปริมาณที่เหมาะสม สามารถทยอยเติมได้จนได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ ไม่จำเป็นต้องฉีดปริมาณมากในครั้งเดียว


ฟิลเลอร์ อันตรายไหม? คำตอบจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


คำถามที่พบบ่อยเมื่อพูดถึงการฉีดฟิลเลอร์คือ "ฟิลเลอร์อันตรายไหม?" คำตอบสั้นๆ คือ ฟิลเลอร์ไม่อันตราย หากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องและฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


ฟิลเลอร์แท้ปลอดภัยหรือไม่


ฟิลเลอร์ชนิดเดียวที่ปลอดภัยที่สุดและได้รับการรับรอง คือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) ได้อนุมัติว่าเป็นสารที่มีความปลอดภัย ฟิลเลอร์ประเภทนี้สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ 100% ไม่มีสารตกค้าง และสามารถฉีดใหม่ได้เรื่อยๆ


ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น


แม้ฟิลเลอร์ HA จะปลอดภัย แต่ก็มีความเสี่ยงเล็กน้อยที่อาจเกิดขึ้นได้:

  • รอยแดงและช้ำบริเวณที่ฉีด (หายได้เองใน 2-3 วัน)

  • อาการบวม (จะลดลงภายใน 7-14 วัน)

  • การติดเชื้อ (พบได้น้อยมากหากฉีดในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน)

  • ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง


วิธีเลือกฉีดฟิลเลอร์ให้ปลอดภัย


การฉีดฟิลเลอร์จะปลอดภัยเมื่อคุณ:

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน

  • ฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์

  • ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย.

  • ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ก่อนฉีด (สังเกตกล่อง, เลข อย., เลข lot)

ฟิลเลอร์ไม่ใช่หัตถการที่อันตราย แต่ต้องให้ความสำคัญกับการเลือกสถานที่และผู้ให้บริการอย่างรอบคอบเพื่อความปลอดภัยสูงสุด


อันตรายจากฟิลเลอร์ปลอม


อันตรายที่แท้จริงมาจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอมหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจนำไปสู่:

  • การเกิดก้อนแข็ง

  • การแพ้และอักเสบรุนแรง

  • การติดเชื้อ

  • ในกรณีรุนแรง อาจเกิดเนื้อตายหรือมีผลต่อการมองเห็น



วิธีการดูฟิลเลอร์แท้ที่ปลอดภัย สังเกตได้จากอะไรบ้าง?


การเลือกฟิลเลอร์แท้ที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความปลอดภัยในการฉีด คุณสามารถสังเกตฟิลเลอร์แท้ได้จาก:

  1. เลขทะเบียน อย. ที่กล่อง - ฟิลเลอร์แท้ต้องมีเลขทะเบียนจากองค์การอาหารและยา (อย.) ชัดเจน

  2. เอกสารกำกับภาษาไทย - ในกล่องจะต้องมีเอกสารกำกับยาเป็นภาษาไทย ซึ่งเป็นข้อบังคับตามกฎหมาย

  3. เลข lot ตรงกัน - เลข lot ที่กล่อง ซอง สติกเกอร์ และหลอดฟิลเลอร์ต้องตรงกันทั้งหมด

  4. ตรวจสอบกับบริษัทนำเข้า - สามารถนำเลข lot โทรเช็คกับบริษัทนำเข้าได้ว่าเป็นของแท้หรือไม่

  5. สังเกตลักษณะของฟิลเลอร์ - ฟิลเลอร์แท้จะมีความใส เนื้อสม่ำเสมอ ไม่มีตะกอน

  6. สังเกตบรรจุภัณฑ์ - ฟิลเลอร์แท้จะมีระบบป้องกันการปลอมแปลง เช่น โฮโลแกรม หรือรหัสพิเศษที่ตรวจสอบได้

  7. แหล่งที่มา - ใช้บริการเฉพาะคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีการสั่งซื้อฟิลเลอร์จากตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ


แต่ละยี่ห้อจะมีจุดสังเกตเฉพาะที่แตกต่างกันเล็กน้อย คุณควรขอดูกล่องฟิลเลอร์ก่อนการฉีดทุกครั้ง และแพทย์ที่มีจรรยาบรรณจะแกะกล่องฟิลเลอร์ให้คุณดูต่อหน้าเสมอ การตรวจสอบเหล่านี้จะช่วยให้มั่นใจว่าคุณได้รับฟิลเลอร์แท้ที่ปลอดภัย


ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี แต่ละยี่ห้ออยู่ได้นานแค่ไหน



ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดฟิลเลอร์


ก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ มีข้อควรปฏิบัติที่สำคัญเพื่อให้การฉีดเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงต่างๆ:

  1. ศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน - เรียนรู้เกี่ยวกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน คุณสมบัติของแพทย์ เทคนิคการฉีด และวิธีสังเกตฟิลเลอร์แท้

  2. งดยาและวิตามินบางชนิด - ควรงดยาต้านการแข็งตัวของเลือดอย่างแอสไพริน, NSAIDs และวิตามินเสริมบางชนิด เช่น St. John's Wort, Ginko Biloba, Vitamin E อย่างน้อย 7-10 วันก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำและเลือดออก

  3. งดยาผลัดเซลล์ผิว - ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Retinol, AHAs หรือ BHAs อย่างน้อย 3-5 วันก่อนฉีด

  4. งดโกนขนบริเวณที่จะฉีด - เพื่อป้องกันการอักเสบและติดเชื้อ

  5. งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้า - ควรงดอย่างน้อย 3 วันก่อนฉีด

  6. แจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบ - แจ้งโรคประจำตัวและยาที่รับประทานประจำให้แพทย์ทราบทุกครั้ง

  7. พิจารณากินยาป้องกัน - ในบางกรณี แพทย์อาจให้ยาห้ามเลือดหรือฉีดยาลดบวมเพื่อลดความเสี่ยงของการบวมช้ำหรือติดเชื้อ

  8. งดแต่งหน้าในวันที่ฉีด - ควรมาด้วยใบหน้าที่สะอาด หรือล้างหน้าให้สะอาดก่อนฉีด

  9. เตรียมใจให้พร้อม - ทำความเข้าใจว่าอาจมีอาการบวมหรือรอยช้ำหลังฉีด ซึ่งเป็นเรื่องปกติและจะหายไปเอง

  10. สามารถขอแปะยาชา - หากกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถแจ้งแพทย์เพื่อขอแปะยาชาก่อนฉีดได้



การปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้การฉีดฟิลเลอร์ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด



7 ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ที่คุณควรรู้

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์โดยทั่วไปมีดังนี้:


1. ปรึกษาแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง

การพูดคุยกับแพทย์เพื่อประเมินปัญหาและความต้องการคือขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด แพทย์จะช่วยวิเคราะห์ว่าคุณเหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์หรือไม่ และควรฉีดบริเวณไหนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


2. แพทย์แนะนำชนิดของฟิลเลอร์และปริมาณที่เหมาะสม

ฟิลเลอร์มีหลายยี่ห้อและหลายรุ่น แต่ละรุ่นเหมาะกับการฉีดในจุดที่แตกต่างกัน แพทย์จะเป็นผู้เลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะกับความต้องการของคุณ


3. ทำความสะอาดใบหน้า

ก่อนเริ่มฉีด แพทย์จะทำความสะอาดใบหน้าในบริเวณที่จะฉีด หากคุณแต่งหน้ามา ก็จะมีการเช็ดเครื่องสำอางออกในจุดที่จะฉีด


4. ตรวจสอบฟิลเลอร์

แพทย์จะแกะกล่องฟิลเลอร์ให้คุณดูต่อหน้า คุณสามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐานโดยดูจาก:

  • เลขทะเบียน อย. ที่กล่อง

  • เอกสารกำกับภาษาไทย

  • เลข lot ที่กล่อง ซอง และหลอด ต้องตรงกัน


5. ประคบน้ำแข็งและฉีดยาชา

เพื่อลดความเจ็บปวด แพทย์จะประคบน้ำแข็งบริเวณที่จะฉีดและฉีดยาชาเฉพาะที่ ในเนื้อฟิลเลอร์เองก็มียาชาผสมอยู่ด้วย


6. ขั้นตอนการฉีด

แพทย์จะใช้เข็มฉีดหรือแคนนูล่า (เข็มปลายทู่) เพื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปใต้ผิวหนังในตำแหน่งที่ต้องการเติมเต็ม ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับจำนวนจุดที่ฉีด


7. การดูแลหลังฉีด

เมื่อฉีดเสร็จ แพทย์จะให้คำแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังฉีด ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและฟิลเลอร์อยู่ได้นาน



วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์


การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเตรียมตัวก่อนฉีด เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วและอยู่ได้นาน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:

  1. หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกา และกดนวดบริเวณที่ฉีด - อาการบวมแดงเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ จะค่อยๆ ดีขึ้นใน 2-3 วัน

  2. ทานยาตามที่แพทย์สั่ง - หากแพทย์ให้ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด หรือยาลดบวมกลับไป ควรทานตามที่กำหนด

  3. หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด - อย่าอยู่ในที่ร้อนจัด งดซาวน่า ว่ายน้ำ ออกกำลังกายหนัก และตากแดดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง

  4. งดเลเซอร์ - โดยเฉพาะเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกอย่างน้อย 1 เดือน

  5. อย่าขยับผิวในจุดที่ฉีดมากเกินไป - โดยเฉพาะใน 3 วันแรก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนได้

  6. งดอาหารและเครื่องดื่มบางอย่าง - เช่น

    • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด

    • อาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ เช่น หมูกระทะ ชาบู

    • อาหารเผ็ดจัด อาหารหมักดอง อาหารหวานจัด

    • งดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ยุบบวมช้าและฟิลเลอร์อยู่ได้สั้นลง



ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีและระยะยาว


หลังจากฉีดฟิลเลอร์ คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที แต่อาจมีอาการบวมเล็กน้อยในช่วงแรก ซึ่งเป็นเรื่องปกติ


  • ผลทันที - เห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังฉีด แต่จะมีอาการบวมร่วมด้วย

  • 7-14 วัน - ฟิลเลอร์จะเข้าที่ อาการบวมลดลง และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น

  • ระยะเวลาที่อยู่ได้ - ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ โดยทั่วไปอยู่ได้ประมาณ 6-24 เดือน


หลังจากฟิลเลอร์สลายหมด ผิวจะไม่ได้แย่ลงกว่าเดิม แต่กลับจะดีขึ้น เพราะฟิลเลอร์ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น



อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์


การฉีดฟิลเลอร์ถือว่าเป็นหัตถการที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่เหมือนกับการทำศัลยกรรมความงามทุกชนิด ก็มีโอกาสเกิดอาการข้างเคียงได้ ซึ่งแบ่งได้เป็น:


อาการข้างเคียงทั่วไป (พบบ่อย)

  1. รอยแดงจากเข็ม - มักหายไปเองได้ภายใน 2-3 วัน

  2. อาการบวม - เป็นเรื่องปกติหลังฉีด จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 7-14 วัน

  3. จ้ำเลือด (รอยช้ำ) - อาจเกิดขึ้นได้ในบางตำแหน่ง โดยเฉพาะบริเวณที่มีเส้นเลือดมาก เช่น ใต้ตาและริมฝีปาก

  4. ความไม่สมมาตร - บางครั้งอาจทำให้ใบหน้าดูไม่สมมาตรในช่วงแรก ส่วนใหญ่เกิดจากอาการบวมที่ไม่เท่ากัน

  5. รู้สึกปวด/ตึง - ความรู้สึกตึงหรือปวดเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติในช่วงแรก


อาการข้างเคียงที่พบได้น้อย

  1. อาการแพ้ - แม้ว่าฟิลเลอร์ HA จะได้รับการออกแบบให้คล้ายกับสารในร่างกาย แต่บางคนอาจแพ้ได้

  2. เป็นก้อน - บางครั้งฟิลเลอร์อาจรวมตัวกันเป็นก้อน โดยเฉพาะในจุดที่ผิวบาง เช่น ใต้ตา

  3. การติดเชื้อ - พบได้น้อยมากหากทำในคลินิกที่ได้มาตรฐาน


อาการข้างเคียงที่รุนแรง (พบได้น้อยมาก)

  1. การอุดตันของเส้นเลือด - เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุด เกิดเมื่อฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันเส้นเลือด อาจทำให้เนื้อเยื่อขาดเลือดและตายได้

  2. ตาบอด - พบได้น้อยมาก มักเกิดจากการฉีดผิดตำแหน่งในบริเวณจมูก หรือระหว่างคิ้ว

  3. การแพ้อย่างรุนแรง - อาการแพ้รุนแรงหรือแอนาฟิแล็กซิส พบได้น้อยมาก


เมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์อย่างเร่งด่วน

หากพบอาการต่อไปนี้หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรรีบติดต่อแพทย์ทันที:

  • ผิวซีดขาว เขียว หรือเทาในบริเวณที่ฉีด

  • ปวดรุนแรงผิดปกติ

  • บวมมากผิดปกติหรือบวมเพิ่มขึ้นหลังผ่านไป 3 วัน

  • มีไข้ หรือมีหนองในบริเวณที่ฉีด

  • อาการชาที่ไม่หายไป

  • มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น


วิธีลดความเสี่ยงอาการข้างเคียง

  1. เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ

  2. ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐานเท่านั้น

  3. ปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังฉีดอย่างเคร่งครัด

  4. แจ้งประวัติการแพ้ยาหรือโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบก่อนทำทุกครั้ง



การฉีดสลายฟิลเลอร์ - เมื่อต้องการแก้ไขผลลัพธ์


การฉีดสลายฟิลเลอร์เป็นอีกหนึ่งข้อดีของการใช้ฟิลเลอร์ประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด (HA) แท้ เพราะสามารถสลายได้ทันทีหากเกิดปัญหาหรือไม่พอใจกับผลลัพธ์


เมื่อไหร่ที่ควรพิจารณาฉีดสลายฟิลเลอร์?

  1. เกิดก้อนฟิลเลอร์ - บางครั้งฟิลเลอร์อาจรวมตัวกันเป็นก้อน กดไม่ลง โดยเฉพาะในบริเวณที่ผิวบาง เช่น ใต้ตา

  2. มีอาการบวมผิดปกติ - หากมีอาการบวมที่ไม่หายไปหลังจาก 2-3 สัปดาห์

  3. ไม่พอใจกับผลลัพธ์ - เช่น รูปทรงไม่สวย ไม่สมมาตร หรือดูไม่เป็นธรรมชาติ

  4. ฉีดเกินความจำเป็น - บางครั้งอาจรู้สึกว่าได้รับการฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป

  5. เกิดอาการแทรกซ้อนที่รุนแรง - เช่น การอุดตันของเส้นเลือด (ต้องฉีดสลายโดยเร่งด่วน)


วิธีการฉีดสลายฟิลเลอร์

การฉีดสลายฟิลเลอร์ทำได้โดยใช้เอนไซม์ที่เรียกว่า Hyaluronidase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีหน้าที่ย่อยสลายกรดไฮยาลูรอนิค โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  1. ปรึกษาแพทย์ - แพทย์จะประเมินปัญหาที่เกิดขึ้นและพิจารณาว่าควรฉีดสลายหรือไม่

  2. ทดสอบการแพ้ - ก่อนฉีด Hyaluronidase แพทย์อาจทดสอบการแพ้ก่อน เนื่องจากบางคนอาจแพ้เอนไซม์นี้ได้

  3. การฉีด - แพทย์จะฉีด Hyaluronidase เข้าไปในบริเวณที่มีฟิลเลอร์ที่ต้องการสลาย

  4. การติดตามผล - หลังจากฉีดสลาย แพทย์จะนัดติดตามผลเพื่อดูว่าฟิลเลอร์สลายตัวหมดหรือไม่


ระยะเวลาในการสลายฟิลเลอร์

Hyaluronidase ทำงานได้รวดเร็วมาก โดยทั่วไป:

  • เริ่มเห็นผลภายใน 24-48 ชั่วโมง

  • สลายฟิลเลอร์ได้หมดภายใน 2-3 วัน (ขึ้นอยู่กับปริมาณและชนิดของฟิลเลอร์)


สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับการฉีดสลายฟิลเลอร์

  1. ฉีดสลายได้เฉพาะฟิลเลอร์ HA แท้เท่านั้น - ฟิลเลอร์ประเภทอื่นหรือฟิลเลอร์ปลอมไม่สามารถสลายด้วยวิธีนี้ได้

  2. อาจต้องฉีดมากกว่าหนึ่งครั้ง - ในบางกรณี อาจต้องฉีดหลายครั้งเพื่อสลายฟิลเลอร์ให้หมด

  3. หลังฉีดสลาย สามารถฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้ - แต่ควรรอประมาณ 2 สัปดาห์ให้อาการบวมหายสนิทก่อน

อาจมีอาการบวมชั่วคราว - หลังฉีดสลาย อาจมีอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองใน 1-2 วัน



การขูดฟิลเลอร์คืออะไร ทำเมื่อไหร่


"การขูดฟิลเลอร์" คือการผ่าตัดเพื่อเอาสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ที่ฉีดผิดพลาดออกจากใบหน้า จำเป็นต้องทำเมื่อฉีดฟิลเลอร์ปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน (เช่น ซิลิโคนเหลว) ซึ่งไม่สามารถสลายได้ด้วยการฉีดเอนไซม์ หรือเมื่อเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ก้อนแข็ง อักเสบติดเชื้อ หรือฟิลเลอร์ไหลย้อย การขูดฟิลเลอร์ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น วิธีนี้มีความเสี่ยงสูง ราคาแพง ต้องมีแผลผ่าตัด อาจเกิดแผลเป็น และไม่สามารถเอาฟิลเลอร์ออกได้หมด 100% โดยเฉพาะในกรณีที่ฉีดมานานจนเกิดพังผืดเกาะ



อยากฉีดฟิลเลอร์เพิ่ม แต่ของเก่ายังไม่หาย ทำได้หรือไม่?


หลายคนสงสัยว่าจำเป็นต้องรอให้ฟิลเลอร์เดิมสลายหมดก่อนหรือไม่ ถึงจะฉีดเพิ่มได้ คำตอบคือ ไม่จำเป็นต้องรอ สามารถฉีดเพิ่มได้แม้ฟิลเลอร์เดิมยังไม่สลายหมด


ข้อมูลทางการแพทย์ปัจจุบันระบุว่า:


  1. การฉีดฟิลเลอร์เพิ่ม (Top-up treatment) สามารถทำได้ก่อนที่ฟิลเลอร์เดิมจะสลายหมด โดยเป็นการเติมเต็มในส่วนที่เริ่มสลายไปแล้วบางส่วน ซึ่งจะช่วยรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่อย่างต่อเนื่อง

  2. สำหรับฟิลเลอร์ประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด (HA) การฉีดเพิ่มสามารถทำได้โดยไม่มีผลเสียต่อผลลัพธ์โดยรวม เพราะฟิลเลอร์ HA มีคุณสมบัติเข้ากันได้กับฟิลเลอร์ HA ตัวเดิม

  3. ระยะเวลาที่เหมาะสม ในการฉีดเพิ่ม ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ต้องการและอัตราการสลายของฟิลเลอร์ในแต่ละบุคคล งานวิจัยของ Goodman และคณะ (2022) พบว่า ฟิลเลอร์ HA รุ่นใหม่สลายช้าลงทำให้ฉีดซ้ำได้ห่างขึ้น แต่การฉีดเติมก่อนสลายหมดช่วยรักษาผลลัพธ์ได้ดีกว่า

  4. แนวปฏิบัติทางคลินิก ล่าสุดจาก American Society for Dermatologic Surgery (ASDS) แนะนำให้พิจารณาฉีดเติมเมื่อเริ่มเห็นผลลัพธ์ลดลง ไม่ต้องรอให้สลายหมด (Fabi et al., 2024)



ฟิลเลอร์ยี่ห้อเดิมหมดแล้ว อยากลองยี่ห้อใหม่ได้หรือไม่?


คำตอบคือ ได้ ไม่ว่าฟิลเลอร์จะสลายหมดแล้วหรือยังสลายไม่หมด ก็สามารถเปลี่ยนยี่ห้อฟิลเลอร์ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มฟิลเลอร์ HA ด้วยกัน เช่น เคยฉีด Juvederm แล้วอยากเปลี่ยนเป็น Restylane หรือ Belotero ก็สามารถทำได้



ราคาฉีดฟิลเลอร์ 2025: แต่ละตำแหน่งแตกต่างกันอย่างไร และทำไม?

ราคาฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละจุด จะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ บางจุดอาจมีความยากและต้องใช้เทคนิคพิเศษในการฉีด









Recent Posts

See All
เจาะลึกฉีดฟิลเลอร์จมูก : ฉีดฟิลเลอร์จมูก เทคนิคเปลี่ยนหน้าใหม่ใน 30 นาที (ไม่ต้องผ่าตัด)

สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ วันนี้เราจะมาคุยเรื่อง "ฟิลเลอร์จมูก" กันอย่างจริงจัง หลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูลและเห็นผลงานทั้งสวยและพลาดมาเยอะ...

 
 
 
เจาะลึกฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก : เช็กด่วน! 4 สัญญาณว่าคุณต้องฟิลเลอร์หน้าผาก (และเมื่อไหร่ที่ไม่ควร)

สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง "ฟิลเลอร์หน้าผาก" กันอย่างจริงจัง หลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูลและเห็นผลงานทั้งสวยและพลาดมาเยอะ...

 
 
 
เจาะลึกฉีดฟิลเลอร์ขมับ : ก่อนฉีดฟิลเลอร์ขมับ อ่านนี่ก่อน! ได้ไม่เสียเงินเปล่า

สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง "ฟิลเลอร์ขมับ" กันอย่างละเอียด หลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูลมาอย่างดีแล้ว...

 
 
 

Comments


บทความทั้งหมด

  • Filler - ฟิลเลอร์

  • Botox - โบท็อก

  • Hifu - ไฮฟู่

  • Meso fat - เมโสแฟต

  • Ulthera - อัลเทอร่า

คำถามยอดนิยม

  • หลังฉีดโบท็อก

  • หลังฉีดฟิลเลอร์

  • ฉีดโบท็อก กี่วันเห็นผล

  • ฉีดเมโสหน้าใส ผลข้างเคียง

ช่องทางการติดต่อ

  • Facebook
  • Twitter
  • LinkedIn
  • Instagram

LINE @aestheticfriends

bottom of page